ปัญหาที่ทำให้ผู้ชายส่วนใหญ่เป็นกังวลมากที่สุด คือ “ปัญหาศีรษะล้านเถิก” เพราะมันสามารถบั่นทอนความมั่นใจของคนเราได้มากทีเดียว และยังทำให้ภาพลักษณ์โดยรวมดูมีอายุมากกว่าความเป็นจริงอีกด้วย ซึ่งวันนี้เราก็ได้รวบรวมถึงสาเหตุหลักของปัญหาดังกล่าวและวิธีการแก้ปัญหามาฝากกัน ซึ่งจะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย
Table of Contents
ฮอร์โมนเพศชาย
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ร่างกายของผู้ชายจะมีการสร้างฮอร์โมนเพศชายที่มีชื่อว่าเทสโทสเตอโรน (testosterone) เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยฮอร์โมนนี้เมื่อเดินทางตามกระแสเลือดไปถึงรากผมจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นฮอร์โมนเพศชายอีกตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า dihydrotestosterone (DHT) โดยเอนไซม์ 5-alpha reductase จะไปรบกวนวงจรชีวิตของเส้นผมให้ผิดปกติไปจนทำให้เส้นผมค่อย ๆ มีขนาดเล็กลงและหายไปจากหนังศีรษะในที่สุด โดยเฉพาะในเส้นผมของผู้ที่มีความไวต่อการทำงานของฮอร์โมนตัวนี้มากกว่าปกติ
พันธุกรรม
ลักษณะทางพันธุกรรมนี้สามารถถ่ายทอดได้ทั้งจากทางพ่อและแม่ ซึ่งนั่นหมายความว่าหากพ่อหรือแม่มีกรรมพันธุ์ศีรษะล้าน ลูกก็มีโอกาสที่จะมีปัญหาในแบบเดียวกันนี้ได้ด้วยเช่นกัน แต่ลักษณะที่จะแสดงออกนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ภายนอกด้วย
อายุ
อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องกล่าวถึง เพราะเมื่ออายุมากขึ้นจากการวิจัยพบว่า เส้นผมจะเล็กลงและความยาวของเส้นผมก็จะลดลงด้วยเช่นกัน รากผมและรากขนปริมาณลดลง จึงเป็นไปได้ว่าเมื่ออายุมากขึ้นจะทำให้ผมดูบางลง อาจเกิดขึ้นจากการที่เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงบริเวณหนังศีรษะน้อยลง
การอักเสบของหนังศีรษะ
การอักเสบน้อย ๆ ของหนังศีรษะจากสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระเพิ่มมากขึ้นที่รากผมนั้นพบว่ามีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะผมบางศีรษะล้านจากกรรมพันธุ์
(2.ภาพประกอบบทความ : ทำเป็นภาพสามช่อง โดยช่องที่1 เป็นหัวของ ฮอร์โมนเพศชาย ช่องที่2 พันธุกรรม ช่องที่ 3 อายุ ซึ่งแต่ละช่องก็ต้องมีเคสคนไข้ประกอบด้วย)
“ปลูกผมถาวร” จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ทำให้ผู้ชายหลายท่านที่ไม่อยากแก้ปัญหาด้วยการกินยาเพียงอย่างเดียว จึงเริ่มหันมาปลูกผมถาวรเพื่อการรักษา และในบางท่านก็ถือโอกาสปรับบุคลิกภาพด้วยการปลูกผมถาวรที่สามารถออกแบบแนวเส้นผมและสร้างกรอบหน้าใหม่ให้ใบหน้ามีสัดส่วนที่เหมาะสมที่จะช่วยกระชากวัยให้กลับมาดูหนุ่มขึ้นได้อีกครั้ง โดยการปลูกผมถาวรเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษาสำหรับผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้านเถิกให้กลับมามีเส้นผมเพิ่มความมั่นใจได้อีกครั้ง ในปัจจุบันมีวิธีการปลูกผม 2 วิธีคือ การปลูกผมย้ายรากแบบผ่าตัด หรือ Follicular Unit Tranหplantation (FUT) และการปลูกผมย้ายรากแบบไม่ผ่าตัด หรือ Follicular Unit Excision (FUE) ซึ่งวิธีการที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายก็คือ การปลูกผมถาวรแบบ FUE นั่นเอง วิธีการนี้จะใช้การเจาะเอารากผมที่แข็งแรงที่สุด จากบริเวณด้านหลังศีรษะที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมน DHT มาทำการปลูกผม ดังนั้นวิธีการนี้จึงไม่จำเป็นต้องตัดหนังศีรษะออกมาเป็นชิ้นยาวเหมือนวิธีการปลูกผมแบบ FUT
แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จากเทคนิค FUE แบบดังเดิม มีการพัฒนามาเป็นการปลูกผมถาวรแบบย้ายราก เทคนิค DHI ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยแก้ไขปัญหาศีรษะล้านเถิกได้ดียิ่งขึ้น จากผลลัพธ์ที่ละเอียดกว่า แน่นกว่า แลดูเป็นธรรมชาติ และมีระยะพักฟื้นที่สั้นลง จากการใช้เครื่องมือพิเศษเฉพาะทางที่เรียกว่า DHI Implanter ในการปักและปลูกพร้อมกัน ซึ่งเครื่องมือนี้จะสามารถควบคุมทิศทาง มุม และความลึกในการปลูกทำให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติ เห็นแนวผมของตัวเองได้ทันทีหลังการปลูก ดังนั้นวันนี้จะมาแนะนำ 3 เทคนิค สำหรับคนหัวล้านเถิก รับรองผมขึ้นชัวร์
ปลูกผมถาวรแบบย้ายรากผม ด้วยเทคนิค FUE Hair Transplant
หรือเรียกกันอย่างสั้น ๆ ว่า “FUE” วิธีการนี้ถูกคิดค้นตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 เป็นการนำรากผมทั้งกอ (1 กอประกอบไปด้วยเส้นผม 1-4 เส้น) จากบริเวณด้านหลังศีรษะ ซึ่งเป็นบริเวณที่ได้รับอิทธิพลของฮอร์โมน DHT น้อยกว่าบริเวณอื่น (DHT คือสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน) มาปลูกใหม่ยังบริเวณที่ต้องการ ซึ่งวิธีการปลูกผมโดยเทคนิคนี้ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหนังศีรษะออกมาเป็นชิ้นยาว เหมือนวิธีการปลูกผมแบบ FUT ทำให้มีระยะพักฟื้นที่สั้นกว่า สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้เร็วขึ้น และไม่ต้องมีแผลเป็นยาวบริเวณด้านหลังศีรษะที่ต้องคอยไว้ผมยาวมาปกปิดไว้
สามารถอ่าน การปลูกผมถาวร แบบย้ายรากผม ด้วยเทคนิค FUE Hair Transplant เพิ่มเติมได้ที่ https://longhairtransplant.com/fue-hair-transplants/
(5.ภาพประกอบบทความ : คนไข้เคสรีวิว FUE ก่อนปลูกหลังปลูกกี่สัปดาห์กี่เดือนก็ว่าไป)
ปลูกผมถาวร แบบย้ายราก ด้วยเทคนิค DHI Hair Transplant
DHI (Direct Hair Implantation) เป็นการปลูกผมถาวรด้วยเทคนิค FUE ประเภทหนึ่ง ซึ่งก็คือ มีขั้นตอนการเจาะนำกราฟต์ที่บริเวณท้ายทอย (Donor Area) ออกมาเช่นเดียวกัน แต่ในขั้นตอนการปลูก หากเป็นเทคนิค FUE แบบดั้งเดิมนั้น แพทย์จะต้องใช้เข็มเจาะลงไปบนหนังศีรษะก่อนเพื่อให้เกิดรู แล้วจึงใช้ forceps นำกราฟต์ผมมาใส่ลงไปในรอยเจาะนั้น แต่หากเป็นเทคนิค DHI สามารถปัก และปลูกผมทีละเส้นได้ภายในครั้งเดียว ด้วยเครื่องมือเฉพาะที่ชื่อว่า DHI Implanter
สามารถอ่าน การปลูกผมถาวร แบบย้ายรากผม ด้วยเทคนิค DHI Hair Transplant ได้ที่
https://longhairtransplant.com/dhi-hair-transplantation/
(7.ภาพประกอบบทความ : คนไข้เคสรีวิว DHI ก่อนปลูกหลังปลูกกี่สัปดาห์กี่เดือนก็ว่าไป)
ปลูกผมถาวร แบบย้ายราก ด้วยเทคนิค Long Hair DHI Transplant
เป็นการปลูกผมโดยใช้เทคนิค DHI (Direct Hair Implanter) ที่ไม่มีการโกนผมสั้นบริเวณศีรษะด้านหลัง (Donor Area) ทำการนำผมที่ยาว ๆ ไปปลูกบริเวณที่ต้องการได้เลย ทำให้ผมที่ปลูกใหม่จะมีลักษณะยาวเท่ากับผมปัจจุบันที่มีบนศีรษะดูกลืนไปกับผมเดิมที่มีอยู่ สำหรับวิธีนี้ตอบโจทย์ผู้ที่ปัญหาศีรษะล้านเถิก แต่ไม่ต้องการโกนผมให้สั้นหรือต้องการปกปิดแผลที่เกิดจากการปลูกผมจากสายตาบุคคลรอบข้าง
สามารถอ่าน การปลูกผมถาวร แบบย้ายรากผม ด้วยเทคนิค Long Hair DHI Transplant ได้ที่
https://longhairtransplant.com/long-hair-dhi-transplant/
(9.ภาพประกอบบทความ : คนไข้เคสรีวิว LH ก่อนปลูกหลังปลูกกี่สัปดาห์กี่เดือนก็ว่าไป)
ปลูกผม ที่ BEQ Clinic กับ นายแพทย์ดนัย ธรรมภิบาล
การันตีด้วยเคสรีวิวมากมาย
จากประสบการณ์ที่เห็นปัญหามาเยอะ ยิ่งมีความมั่นใจและสามารถตอบโจทย์ทุกปัญหาได้แน่นอน
แพทย์มีความเข้าใจ
เรื่องของความเป็นธรรมชาติ ในการออกแบบแนวเส้นผม และการปักกราฟต์ให้ไปในทิศทางเดียวกันกับเส้นผม เหมาะกับเพศ วัย และเชื้อชาติ ลักษณะใบหน้า รูปทรงของศีรษะ
เทคโนโลยีทันสมัย
อุปกรณ์เจาะ-ปักกราฟต์ DHI Implanter นวัตกรรมเครื่องมือปลูกผมที่ทำให้งานปลูกผมแม่นยำและประหยัดเวลาไปมากกว่า 30%
ใส่ใจทุกรายละเอียด
ไม่ว่าจะเป็นการเจาะ– ปักบริเวณที่ปลูกผมต้องทำด้วยความใส่ใจทุกรายละเอียดขั้นตอนเพื่อผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นธรรมชาติมากที่สุด
ปลอดภัย 100%
ตั้งแต่การประเมินเตรียมความพร้อมก่อนการปลูกโดยทีมแพทย์ อุปกรณ์ที่มีการฆ่าเชื้อตามมาตรฐานทางการแพทย์ การดูแลระหว่างและหลังการปลูกโดยทีมงานที่มีประสบการณ์ จึงมั่นใจได้ว่าการปลูกผมของคุณจะดำเนินไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย
ดูแลฟรี ตลอด 1 ปี