การเริ่มมีอาการหนังศีรษะล้านหรือบางเป็นปัญหาที่ทุกคนมักจะนิ่งนอนใจและปล่อยให้มีอาการจนสายเกินแก้ รู้ตัวอีกทีเส้นผมบริเวณด้านหน้าและด้านบนก็โดนฮอร์โมน DHT ทำร้ายไปเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ศีรษะเริ่มมีอาการผมบางและล้านมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ การหาคำตอบในอินเตอร์เน็ตคงเป็นอย่างแรกที่คุณทำใช่ไหมครับ คำตอบที่คุณได้รับก็มีทั้งการทานยา การใช้เซรั่ม การปลูกผม หรือการสักไรผมที่วันนี้เราจะมาพูดถึงกันครับ
ในคนไข้หลายท่านที่เคยสักร่างกายมา อาจจะนึกถึงการสักหนังศีรษะไม่ว่าจะเป็นสักแบบด็อทหรือ สักแบบไรผม เพราะเห็นผลเลยและมีค่าใช้จ่ายที่ไม่แพงนัก แต่การสักหนังศีรษะจะใช่คำตอบสำหรับคุณหรือไม่ บทความนี้มีคำตอบครับ
การสักหนังศีรษะเป็นอย่างไร?
การสักหนังศีรษะแบบฝังอณูสี (Scalp Micropigmentation) หรือที่เรียกอีกอย่างว่าการสักไรผม จะใช้เข็มขนาดเล็กในการฉีดเม็ดสีเข้าไปใต้หนังศีรษะ ต่างจากการสักร่างกายแบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะด้วยอุปกรณ์การสักหรือสีที่ใช้ก็ต้องมีความจำเพาะต่อหนังศีรษะครับ เพราะหากเรานำสีที่ใช้สำหรับการสักร่างกายมาสักบนศีรษะ อาจทำให้สีเพี้ยนและเกิดอันตรายร้ายแรงได้ เช่น อันตรายจากสารตกค้าง อันตรายจากการกระจายตัวของสี หรือเกิดการเมกก้าดอท (จุดใหญ่ซ้อนกัน) ก็เป็นได้ ซึ่งในบางกรณี หากเราต้องเข้าเครื่องสแกนสมอง แล้วรังสีสแกนพบโลหะหนักบนศีรษะ อาจทำให้เกิดอันตรายต่อตัวคนไข้และอาจเกิดเป็นรอยไหม้บนศีรษะได้อีกด้วย ดังนั้นหากต้องการสักก็ต้องแน่ในว่าสักกับผู้เชี่ยวชาญนั่นเองครับ
ทั้งนี้วิธีการสักหนังศีรษะเป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาสำหรับคนไข้ที่มีอาการหัวล้านหรือผมบาง โดยที่ไม่ต้องทานยาหรือทำการปลูกผมแบบย้ายราก
ลักษณะของการสักหนังศีรษะ จะมีอยู่ 2 แบบหลัก ๆ คือ
- สักไรผม
ช่วยทำให้ไรผมดูหนาขึ้นและช่วยในเรื่องการเน้นกรอบหน้าให้ชัดขึ้น ใช้เวลาในการสัก ประมาณ 2-3 ชั่วโมง - สักหนังศีรษะเป็นจุดดำ ๆ
วิธีนี้จะช่วยลวงตาทำให้ดูเหมือนว่าเรามีตอผมหรือเส้นผมอยู่ตลอดเวลาและทำให้ผมบนหนังศีรษะดูฟูและมีความหนาแน่นขึ้น โดยระยะเวลาในการสักหนังศีรษะจะต้องเข้าไปสักหลายรอบ และจะใช้เวลาโดยรวมประมาณ 2-4 สัปดาห์
ข้อเสียของการสักหนังศีรษะที่ควรทราบ
- ลักษณะโครงสร้างของคนไทย – กะโหลกคนไทยส่วนใหญ่ ไม่เหมาะกับการตัดผมสั้น
- รอยสักไม่คงอยู่ถาวร – สีที่ใช้สักของทั้งสองเทคนิคจะสามารถอยู่กับเราได้เพียงไม่กี่ปี จากสีที่จะจางลงไปตามกาลเวลา ทำให้ความชัดของเส้นค่อย ๆ ลดลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง
- ช่างสักไม่มีความชำนาญ – การสักหนังศีรษะต้องใช้ฝีมือและความชำนาญเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นการสักอาจเกินจากกรอบไรผม ทำให้คนไข้ดูเหมือนใส่วิก และดูไม่เป็นธรรมชาตินั่นเองครับ
- เม็ดสีไม่เป็นธรรมชาติ – เม็ดสีที่ลงไปบนหนังศีรษะของเราอาจจะกระจายและดูไม่เป็นธรรมชาติ เมื่อเวลาผ่านไปเส้นที่สักไปก็จะไม่คมชัดเหมือนเดิม ทำให้สามารถเห็นได้ชัดว่าเป็นรอยสัก
- ยากที่จะแก้ไข – ความผิดพลาดที่เกิดจากการสักหนังศีรษะ นั้นยากที่จะแก้ไข เช่น สักแล้วกลายเป็นจุดที่ใหญ่มาก หรือเกิดการกระจายตัวของสี ทำให้รอยสักกลายเป็นทรงหมวกกันน็อค เป็นต้น เมื่อเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้น คุณอาจจะต้องอยู่กับปัญหาเหล่านี้ไปอีกหลายปี เพราะในปัจจุบันร้านที่รับแก้ไขรอยสักยังคงมีอยู่น้อยมากนั่นเองครับ
จนถึงตรงนี้ หากหลาย ๆ ท่านเริ่มคิดว่า การสักหนังศีรษะยังไม่ใช่คำตอบของปัญหาเรื่องผมบาง หัวล้าน อีกวีธีหนึ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ คือ การปลูกผมแบบย้ายราก ที่ BEQ Clinic เพราะเป็นการแก้ปัญหาได้ตรงจุด และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดนั่นเองครับ
แล้วคนไข้บางท่านที่สักหนังศีรษะมาแล้วต้องการปลูกผมทับรอยสักไปเลยสามารถทำได้ไหม? หมอขอตอบตามตรงนะครับ ว่าสำหรับคนไข้ที่เกิดปัญหาศีรษะล้านไปแล้วอยากจะปลูกผมแบบย้ายรากทับการสักไปเลย ก็สามารถทำได้นะครับ หรือจะไปเลเซอร์รอยสักบนศีรษะออกก่อนแล้วค่อยมาปลูกทีหลังก็ได้เช่นเดียวกัน แล้วแต่ความสะดวกของคนไข้เลยครับ
ในการปลูกผมแบบย้ายรากทับรอยสักบนศีรษะไปเลยจะเป็นการปลูกที่มีความยากมากกว่าการปลูกผมแบบย้ายรากแบบปกติ เนื่องจากพื้นผิวที่สัก ทำให้แพทย์มองเห็นพื้นที่ในขั้นตอนการปลูกค่อนข้างยาก แต่ที่ BEQ Clinic เรามีทีมแพทย์ที่ชำนาญการ รวมถึงใช้อุปกรณ์คุณภาพดี ทำให้คนไข้ที่เคยสักผมมา ไม่เป็นปัญหาต่อการปลูกผมแต่อย่างใด
ทั้งนี้ สำหรับคนที่มีปัญหาผมบางแต่ยังไม่ถึงกับล้าน หมอแนะนำว่าให้ทำการปลูกผมด้วยเซลล์รากผมเทคนิค RECELL หรือ RECELL Plus 3x จะดีกว่านะครับ เพราะการทำการปลูกผมด้วยเซลล์รากผม นอกจากจะช่วยเพิ่มให้เกิดโอกาสงอกใหม่ของเส้นผม ยังช่วยให้เส้นผมที่อ่อนแอกลับมาเจริญเติบโตขึ้นอีกด้วย อีกทั้งผลลัพธ์ยังทำให้ได้ผมดูเป็นธรรมชาติกว่า และแข็งแรงกว่านั่นเองครับ
สำหรับใครที่อยากสอบถามปัญหาเกี่ยวกับเส้นผม สามารถเข้ามาปรึกษา หรือเข้ามาประเมินปัญหากับแพทย์ เพื่อหาทางออกและวิธีที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคลก่อน จะเป็นทางออกดีที่สุดนะครับ เพราะไม่มีใครอยากเจ็บตัวซ้ำ ๆ ใช่ไหมล่ะครับ สามารถคุยกับหมอได้ที่นี่ครับ